วิตามินคืออะไร ?


วิตามิน คือ สารอินทรีย์ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของเราทุกคน โดยเป็นตัวช่วยในการทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายเกิดความสมดุลขึ้น ตลอดจนเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย และเสริมสร้างสุขภาพที่ดีภายในร่างกายขึ้น ที่สำคัญคือร่างกายของเราไม่สามารถผลิตหรือสังเคราะห์วิตามินขึ้นได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหาร จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อ หรือการได้รับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเข้าไปเพื่อทดแทนวิตามินที่ร่างกายเราขาดไป


วิตามินมีมากมายหลากหลายประเภท แต่โดยหลัก ๆ แล้ว วิตามินจะแบ่งออกเป็น


1. วิตามินที่ละลายในน้ำ เช่น วิตามินซี และ วิตามินบีทุกชนิด

  • 2. วิตามินที่ไม่ละลายในน้ำ แต่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ, วิตามินดี, วิตามินอี และวิตามินเค เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีวิตามินอีกมากมายที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของร่างกายเรา ลองมาดูประโยชน์ของวิตามินหลักๆ ที่สำคัญต่อร่างกายว่ามีอะไรบ้าง


วิตามินบี 1 (Thiamine)


  • วิตามินบี 1 หรือ ไทอะมีน (Thiamine) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ อยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวมซึ่งร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมไว้ได้ หากมีอยู่ในร่างกายมากเกินไปก็จะถูกขับออกมา จึงจำเป็นที่จะได้รับทุกวัน มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก. หรือ mg.)

  • วิตามินบี 1 มีชื่อเรียกว่า "วิตามินเสริมขวัญและกำลังใจ" เพราะช่วยบำรุงประสาท โดยวิตามินบีแต่ละตัวจะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน ต้องรับประทานร่วมกันจึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าแยกรับประทาน โดยวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 ควรรับประทานในปริมาณที่เท่า ๆ กัน

  • แหล่งที่พบวิตามินบี 1 ได้ตามธรรมชาติ ได้แก่ ผัก โฮลวีต ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง รำข้าว เปลือกข้าว เมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี บริเวอร์ยีสต์ นม ไข่แดง ปลา เนื้อออร์แกนิก เนื้อหมูไม่ติดมัน เป็นต้น

  • หากคุณเป็นคนที่ชอบรับประทานอาหารหวานจัด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่เป็นประจำ ร่างกายจะต้องการวิตามินบี 1 เพิ่มมากขึ้น
  • หากตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือรับประทานยาคุม คุณต้องได้รับวิตามินบี 1 มากกว่าปกติ
  • หากคุณรับประทานยาลดกรดในกระเพาะหลังอาหารเป็นประจำ คุณอาจไม่ได้รับวิตามินบี 1 ที่ควรจะได้จากอาหารมื้อนั้น ๆ
  • ในภาวะเครียด เจ็บป่วย มีอาการบาดเจ็บหลังผ่าตัด คุณควรรับประทานวิตามินบีรวมเสริมด้วย
  • เมื่อเจ็บป่วย มีอาการเครียด ผ่าตัด ร่างกายจะต้องการวิตามินบี 1 เพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ


    ประโยชน์ของวิตามินบี 1

    1. รักษาโรคจากการขาดวิตามินบี 1 ได้แก่โรคเหน็บชา
    2. เสริมสร้างการเจริญเติบโต
    3. ช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งได้เป็นดี
    4. ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจให้ทำงานเป็นปกติ
    5. ช่วยบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญาให้ดีขึ้น
    6. ช่วยบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน

วิตามินบี 2 (Riboflavin)


เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ถูกดูดซึมได้ง่าย ปริมาณที่ถูกขับออกมาจะขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกายเป็นหลัก ร่างกายจึงไม่เก็บสะสมไว้ เราจึงควรได้รับอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจากอาหารหรืออาหารเสริม

  • วิตามินบี 2 มีอีกชื่อว่า วิตามินจี (Vitamin G) มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก.หรือ mg.) วิตามินชนิดนี้จะถูกแสงสว่างทำลายได้โดยง่าย แต่ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนเหมือน วิตามินบี 3 โดยวิตามินที่พบว่าชาวอเมริกันขาดมากที่สุดคือไรโบฟลาวินหรือวิตามินบี 2
  • แหล่งที่พบวิตามินบี 2 ได้ในธรรมชาติ ได้แก่ ไข่ นม ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ปลา ตับ ไต เป็นต้น
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 2 ได้แก่ โรคปากนกกระจอกหรือโรคขาดวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 พบที่บริเวณริมฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง อวัยวะสืบพันธุ์
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ปัจจุบันยังไม่พบอาการที่บ่งชี้ว่าเป็นพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินชนิดนี้ แต่ที่มีความไปได้ว่าหากในร่างกายมีวิตามินตัวนี้สูงเกินไปก็คือ คัน รู้สึกชา อาการแสบยิบ ๆ โดยศัตรูของวิตามินบี 2 ได้แก่ แสงแดดหรือแสงยูวี ความเป็นด่าง ยากลุ่มซัลฟา ฮอร์โมนเอสโตรเจน แอลกอฮอล์ และน้ำ เพราะวิตามินบี 2 จะถูกเจือจางในน้ำที่ประกอบอาหาร

    ประโยชน์ของวิตามินบี 2

    1. ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
    2. บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
    3. เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
    4. ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
    5. กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
    6. ทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน



วิตามินบี 5

(Pantothenic acid-กรดแพนโทเทนิก)


เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีรวม มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก. หรือ mg.) ซึ่งร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินบี 5 ขึ้นเองได้ด้วยแบคทีเรียในลำไส้

  • วิตามินบี 5 มีหน้าที่ช่วยในกระบวนการสร้างเซลล์ต่าง ๆ การเจริญเติบโตของร่างกาย และการพัฒนาของระบบประสาทส่วนกลาง มีความจำเป็นอย่างมากต่อการทำงานของต่อมหมวกไต รวมไปถึงการช่วยสร้างเสริมภูมิต้านทานและใช้พาบาและโคลีนของร่างกาย และยังมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนไขมันและน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน
  • แหล่งที่พบวิตามินบี 5 ตามธรรมชาติ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไก่ ตับ ไต หัวใจ ธัญพืชไม่ขัดสี รำข้าว จมูกข้าวสาลี ถั่ว ผักสีเขียว กากน้ำตาลไม่บริสุทธิ์ บริเวอร์ยีสต์ เป็นต้น
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ในปัจจุบันยังไม่พบว่ามีอาการเป็นพิษต่อร่างกายหากรับประทานในปริมาณมากติดต่อกัน โดยศัตรูของวิตามินบี 5 ได้แก่ ความร้อน กระบวนการแปรรูปอาหาร แอลกอฮอล์ การบรรจุกระป๋อง คาเฟอีน ยานอนหลับ ยาในกลุ่มซัลฟา และฮอร์โมนเอสโตรเจน
  • โรคจากการขาดวิตามินบี 5 ได้แก่ โรคไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แผลในลำไส้เล็ก โรคเลือด และโรคผิวหนัง

ประโยชน์ของวิตามินบี 5

  1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
  2. ช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
  4. ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
  5. ช่วยรักษาอาการช็อกหลังการผ่าตัด
  6. ช่วยป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกาย
  7. ช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบในผู้ป่วยบางรายได้
  8. ช่วยรักษาอาการเหน็บชาที่มือและเท้า
  9. ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย


วิตามินบี 6 (Pyridoxine-ไพริด็อกซิน)


เป็นคำที่ใช้เรียกรวมกันของกลุ่มสารที่มีโครงสร้างคล้ายกันและทำงานร่วมกัน ซึ่งประกอบไปด้วยไพริด็อกซิน ไพริด็อกซาล และไพริด็อกซามีน ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ โดยจะถูกขับออกจากร่างกายภายใน 8 ชั่วโมงหลังจากรับประทาน และมีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (mg.)


  • แบคทีเรียในลำไส้บางชนิดสามารถสังเคราะห์วิตามินบี 6 เองได้ โดยเฉพาะหากมีการรับประทานร่วมกับเซลลูโลสเสริม และวิตามินบี 6 มีความจำเป็นต่อการสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและแมกนีเซียม ร่างกายมีความจำเป็นต้องใช้วิตามินบี 6 ในการสร้างแอนติบอดีและเม็ดเลือดแดง
  • แหล่งที่พบวิตามินบี 6 ตามธรรมชาติ ได้แก่ บริเวอร์ยีสต์ รำข้าว จมูกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง วอลนัต กะหล่ำปลี กากน้ำตาล แคนตาลูป ไข่ ตับ ปลา เป็นต้น (นมเป็นแหล่งอาหารที่มีวิตามินบี 6 ค่อนข้างต่ำ)
  • ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด อาจเกิดอาการกระสับกระส่ายในเวลานอน ฝันเหมือนจริงเกินไป เท้าชาและมีอาการกระตุก สำหรับผู้ที่รับประทานขนาด 2,000 - 10,000 มิลลิกรัมทุกวัน อาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบประสาทได้ ขอแนะนำว่าควรรับประทานขนาดไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ต่อวันจะปลอดภัยกว่า
  • ศัตรูของวิตามินบี6 ได้แก่ การเก็บไว้นานเกินไป การบรรจุในกระป๋อง จากกระบวนการแปรรูปอาหาร การย่างหรือต้ม การแช่แข็งผักและผลไม้ น้ำ แอลกอฮอล์ และฮอร์โมนเอสโตรเจน และโรคจากการขาดวิตามินบี6 คือ โรคโลหิตจาง ผื่นผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมัน


ประโยชน์ของวิตามินบี 6

  1. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง
  2. ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต
  3. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
  4. ทำให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
  5. ช่วยเปลี่ยนรูปของทริปโตเฟนให้เป็นไนอะซิน (วิตามินบี 3)
  6. ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
  7. ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
  8. ช่วยชะลอวัยได้
  9. เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
  10. ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และปลายประสาทที่แขนขาอักเสบบางชนิด
  11. ลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทานยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก

วิตามินบี 12 (Cobalamin-โคบาลามิน)


เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำอย่างมีประสิทธิภาพดีแม้มีเพียงปริมาณเล็กน้อย มีอีกชื่อที่รู้จักกันดีคือ วิตามินแดง หรือ ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) เป็นวิตามินเพียงตัวเดียวที่มีแร่ธาตุที่จำเป็นประกอบอยู่ และแตกตัวไม่ดีนักในกระเพาะอาหาร ต้องรวมตัวกับแคลเซียม เพื่อให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น


  • โดยร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินบี 12 ไว้ได้ ซึ่งจะแตกต่างจากวิตามินบีชนิดอื่น โดยใช้เวลาถึง 3 ปีกว่าที่วิตามินจะสูญสลายไปจากร่างกาย นอกจากนี้การทำงานของต่อมไทรอยด์ที่เป็นปกติจะช่วยการดูดซึมของวิตามินบี 12 อาการของการขาดวิตามินบี 12 อาจใช้เวลาถึง 5 ปีหลังจากที่สะสมในร่างกายหมดไปจึงจะปรากฏให้เห็น
  • วิตามินบี 12 จะพบในผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์เป็นหลัก ส่วนอาหารจากพืชจะไม่มีวิตามินบี 12 อาหารที่มีวิตามินบี 12 เช่น ตับ ไต นม ไข่แดง ชีส ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว อาหารหมักดอง เป็นต้น
  • หากร่างกายขาดวิตามินบี 12 อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางและโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้
  • ปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าหากรับประทานเกินขนาดติดต่อกันทุกวันจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย แม้ในปริมาณที่สูงมาก ๆ โดยศัตรูของวิตามินบี 12 คือ น้ำ, กรดและด่าง, แอลกอฮอล์, แสงแดด, ยานอนหลับ, ฮอร์โมนเอสโตรเจน

ประโยชน์ของวิตามินบี 12

  1. ช่วยบำรุงประสาท ทำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น
  2. ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
  3. ช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิด ลดความเครียด
  4. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
  5. ประโยชน์วิตามินบี 12 ช่วยทำให้เด็กเจริญอาหาร
  6. ทำให้ร่างกายสามารถใช้ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม
  7. มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
  8. ประโยชน์ของวิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
  9. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่
  10. ปริมาณ 80 ไมโครกรัมต่อวันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งของกระดูกและช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้


วิตามินซี (Vitamin C)หรือ กรดแอสคอร์บิก


  •  เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง
  • สัตว์ส่วนใหญ่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีเองได้ แต่มนุษย์ต้องอาศัยวิตามินซีจากอาหารเสริมแทนเท่านั้น
  • วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
  • วิตามินชนิดนี้มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก. หรือ mg.)
  • วิตามินซีช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
  • วิตามินซีจะถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อคุณตกอยู่ในสภาวะเครียด
  • การขาดวิตามินซีอาจทำให้เกิดโรคเลือดออกตามไรฟันได้
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันอยู่ที่ 60 mg. และสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรที่ประมาณ 70-96 mg.
  • ผู้ที่สูบบุหรี่และผู้สูงอายุ ควรได้รับวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น
  • ร่างกายจะสูญเสียวิตามินซี 25 - 100 mg. ต่อการสูบบุหรี่หนึ่งมวน
  • ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)
  • แหล่งที่พบวิตามินซีได้ในธรรมชาติ ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผักใบเขียว แคนตาลูป มันฝรั่ง มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ พริกไทย เป็นต้น


ประโยชน์ของวิตามินซี

  1. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
  2. การรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้ผิวใส เนียน นุ่มลื่นอย่างเป็นธรรมชาติ
  3. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  4. ช่วยในการรักษาและป้องกันโรคหวัด
  5. ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
  6. ประโยชน์วิตามินซี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด
  7. ช่วยต่อต้านการสร้างสารไนโตรซามีน (สารก่อมะเร็ง)
  8. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
  9. ประโยชน์ของวิตามินซี ช่วยลดความดันเลือด
  10. ช่วยลดการเกิดเส้นเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
  11. ช่วยต่อชีวิตให้เซลล์โดยช่วยให้โปรตีนในเซลล์เกาะเกี่ยวกันได้ดีขึ้น
  12. ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก
  13. เป็นยาระบายตามธรรมชาติ
  14. เพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  15. ช่วยลดอาการที่เป็นผลมาจากสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้
  16. ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด
  17. ช่วยเร่งให้แผลหลังผ่าตัดหายเร็วยิ่งขึ้น


  18. ช่วยในการรักษาแผลสด แผลไหม้ให้หายเร็วยิ่งขึ้น

วิตามินอี (Vitamin E)


  • วิตามินอี (Vitamin E) หรือ โทโคฟีรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งจะถูกเก็บสะสมไว้ที่ตับ เนื้อเยื่อ ไขมัน หัวใจ เลือด กล้ามเนื้อ มดลูก อัณฑะ ต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง มีหน่วยวัดเป็น IU โดย 1 IU = 1 mg. โดยวิตามินอีแบ่งออกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือโทโคฟีรอลและโทโคไทรอีนอล โดยทั้ง 2 กลุ่มจะแบ่งเป็น 4 รูปแบบ คือ แอลฟา บีตา แกมมา เดลตา ซึ่งในบรรดาสารทั้ง 8 ตัว แอลฟาโทโคฟีรอลจัดได้ว่ามีฤทธิ์ทางชีวภาพ แต่แกมมาโทโคฟีรอลมีประสิทธิภาพมากกว่าในการเพิ่มระดับเอนไซม์ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (SOD) ซึ่งมีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งรวมไปถึงมะเร็ง โรคหัวใจ โรคชรา อัลไซเมอร์

  • วิตามินอีเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม ป้องกันการเกิดออกซิเดชันของสารในกลุ่มไขมัน ทำงานเหมือนกับวิตามินเอ วิตามินซี ซีลีเนียม กรดอะมิโนซัลเฟอร์ นอกจากนี้วิตามินอียังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินเอได้ดียิ่งขึ้น และยังทำหน้าที่สำคัญคล้ายเป็นยาขยายหลอดลมและเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือด โดยวิตามินอีจะต่างกับวิตามินที่ละลายในไขมันตัวอื่นคือ ร่างกายจะเก็บสะสมไว้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น คล้าย ๆ กับวิตามินบีและวิตามินซี

  • แหล่งที่พบวิตามินอีตามธรรมชาติ ได้แก่ ไข่ จมูกข้าวสาลี ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลชนิดโฮลเกรน แป้งทำขนมปังแบบเสริมวิตามิน ถั่วเหลือง น้ำมันพืช น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพดถั่ว เมล็ดทานตะวัน เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ (วอลนัต พีแคน ถั่วลิสง จะมีแกมมาโทโคฟีรอลมากเป็นพิเศษ) กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว ผักใบเขียว ผักขม อะโวคาโด (เฉพาะเนื้อ) ปวยเล้ง เป็นต้น

  • โรคจากการขาดวิตามินอีคือ เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย กล้ามเนื้อฝ่อ และโรคโลหิตจาง โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ และศัตรูของวิตามินอี ได้แก่ ความร้อน ออกซิเจน อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง กระบวนการแปรรูปอาหาร ธาตุเหล็ก คลอรีน และน้ำมันแร่ธรรมชาติ เป็นต้น

ประโยชน์ของวิตามินอี


  1. ช่วยทำให้แลดูอ่อนกว่าวัย โดยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์
  2. ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี
  3. ช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพความทนทาน
  4. ช่วยปกป้องปอดจากมลพิษทางอากาศ โดยทำงานร่วมกับวิตามินเอ
  5. ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้หลายชนิด
  6. เพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโรคให้เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์
  7. ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
  8. ช่วยป้องกันและสลายลิ่มเลือด
  9. ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย
  10. ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก
  11. ป้องกันแผลเป็นหนานูน ทั้งภายนอกและภายใน
  12. เร่งให้แผลไหม้บริเวณผิวหนังหายเร็วยิ่งขึ้น
  13. ทำงานคล้ายยาขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต
  14. ช่วยในการป้องกันภาวะแท้ง
  15. บรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง
  16. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์ อัมพาต
  17. ลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคอัลไซเมอร์ได้


เป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่จำเป็น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา รักษาข้อเสื่อม กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ร่วมกับวิตามินซี ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดตะคริว ช่วยกำจัดสารพิษปรอท ตะกั่ว และแคดเมียมออกจากร่างกาย และยังมีส่วนป้องกัน การเกิดเบาหวาน 
แหล่งของซิลีเนียมนั้นก็คือ ถั่วเปลือกแข็งธัญพืช เนื้อ ปลา ไข่ เห็ด ไต ทูน่า กระเทียม กุ้ง ปู และ หอย

ซีลีเนียม Selenium SE

ภูมิแพ้ (Allergy)